การรักษาตุ่มน้ำพอง
ตุ่มน้ำพอง (Pemphigus) หรือโรคเพมพิกอยด์ เป็นโรคทางผิวหนังที่พบได้น้อยมาก เกิดจากความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน ส่งผลให้ผิวหนังมีอาการเจ็บปวด เกิดแผลพุพอง หรือตุ่มหนอง หากไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสมอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนและเกิดการติดเชื้อได้
คำจำกัดความ
ตุ่มน้ำพอง (Pemphigus) คืออะไร
ตุ่มน้ำพอง (Pemphigus) หรือโรคเพมพิกอยด์ เป็นโรคทางผิวหนังที่พบได้น้อยมาก เกิดจากความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน ส่งผลให้ผิวหนังมีอาการเจ็บปวด เกิดแผลพุพอง หรือตุ่มหนอง หากไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสมอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนและเกิดการติดเชื้อได้
พบได้บ่อยเพียงใด
โรคตุ่มน้ำพอง สามารถเกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะในผู้ที่อยู่วัยกลางคนขึ้นไป
อาการ
อาการของตุ่มน้ำพอง (Pemphigus)
ทำให้ผิวหนังเกิดแผลพุพอง และมีผลต่อเยื่อเมือก เช่น บริเวณปาก ลำคอ จมูก ตา อวัยวะเพศ ปอด เป็นต้น โดยมีลักษณะอาการอื่น ๆ โดยแผลพุพองมักขึ้นภายในบริเวณช่องปาก บริเวณผิวหนังต่าง ๆ หรือบริเวณเยื่อเมือกที่อวัยวะเพศ
พบคุณหมอเมื่อใด
หากคุณมีสิ่งบ่งชี้หรืออาการใด ๆ ตามที่ระบุข้างต้น หรือมีคำถามโปรดปรึกษาแพทย์ ร่างกายของแต่ละบุคคลมีการตอบสนองแตกต่างกัน ทางที่ดีที่สุดให้ปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับวิธีรักษาที่ดีที่สุดตามสถานการณ์ของคุณ
สาเหตุ
สาเหตุของตุ่มน้ำพอง (Pemphigus)
ในปัจจุบันยังไม่ทราบสเหตุที่แท้จริงของโรคตุ่มน้ำพอง แต่ได้มีข้อสันนิษฐานว่าโรคตุ่มน้ำพองเกิดจากความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน โดยปกติระบบภูมิกันจะผลิตโปรตีนที่เรียกว่า “แอนติบอดี (Antibody)” ซึ่งมีหน้าที่ป้องกันเชื้อแบคทีเรียและไวรัสต่าง ๆ เข้าสู่ร่างกาย
เมื่อระบบภูมิคุ้มกันผิดพลาดในการสร้างแอนติบอดี้ต่อโปรตีนในผิวหนังและเยื่อเมือก จึงเข้าไปทำลายเนื้อเยื้อระหว่างชั้นผิวหนัง ส่งผลให้ผิวหนังเกิดแผลพุพองและเกิดการสึกกร่อนบนผิวหนัง
ปัจจัยเสี่ยง
ปัจจัยเสี่ยงของตุ่มน้ำพอง (Pemphigus)
กลุ่มวัยกลางคนและผู้สูงอายุ
ประชากรเชื้อสายเมดิเตอร์เรเนียน
การวินิจฉัยและการรักษา
ข้อมูลในที่นี้ไม่มีเจตนาให้ใช้ทดแทนคำแนะนำทางการแพทย์ ควรปรึกษาแพทย์ทุกครั้งเพื่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
การวินิจฉัยตุ่มน้ำพอง (Pemphigus)
ในเบื้องต้นแพทย์จะสอบถามประวัติอาการและตรวจสอบดูความผิดปกติของผิวหนัง แพทย์อาจนำชื้นเนื้อเยื่อของตุ่มไปตรวจวิเคราะห์เพื่อวินิจฉัยยืนยันโรค
การรักษาโรคตุ่มน้ำพอง
วิธีการรักษาโรคตุ่มน้ำพองเน้นการรักษาเพื่อบรรเทาอาการเจ็บปวดและป้องกันภาวะแทรกซ้อน รวมถึงวิธีอื่น ๆ ดังนี้
การรับประทานยากลุ่มคอร์ติโคสเตียรอยด์ เช่น ยาเพรดนิโซโลน (Prednisolone) แต่ยาเหล่านี้อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคกระดูกพรุนต้อกระจกต้อหินน้ำตาลในเลือดอาจเพิ่มสูงขึ้น แผลในกระเพาะอาหาร เป็นต้น
การให้อาหารทางหลอดเลือดดำ หากคุณมีแผลในปากรุนแรง ไม่สามารถรับประทานอาหารได้ แพทย์อาจต้องให้อาหารทางสายเลือด
การกรองพลาสมา หากคุณมีอาการที่รุนแรงมากแพทย์อาจต้องทำการกรองพลาสมา เพื่อกำจัดแอนติบอดี้ที่ทำล้ายผิวหนังออกจากเลือด
การเปลี่ยนไลฟ์สไตล์และการเยียวยาตัวเองเพื่อบรรเทาอาการตุ่มน้ำพอง (Pemphigus)
การเปลี่ยนไลฟ์สไตล์และการเยียวยาตัวเองเพื่อบรรเทาอาการตุ่มน้ำพอง มีดังต่อไปนี้
หลีกเลี่ยงการสัมผัสแสงแดดมากเกินไป
หลีกเลี่ยงอาหารรสเผ็ด ที่อาจเกิดการระคายเคืองจนทำให้เกิดแผลพุพอง
ดูแลผู้ป่วยโรคตุ่มน้ำพองอย่างไร
หมั่นทำความสะอาดร่างกายด้วยน้ำเกลือ หลีกเลี่ยงการใช้ยาพ่น หรือยาพอก
ไม่เกา หรือแกะแผลที่ขึ้นตามผิวหนัง
ดูแลสุขอนามัยของร่างกายทั้งการทานอาหาร ออกกำลังกาย และพักผ่อนให้เพียงพอ
หลีกเลี่ยงสภาวะ หรือกิจกรรมที่มีผลให้โรคกำเริบ ได้แก่ การทานอาหารรสจัด การตากแดดหรือโดนความร้อน และความเครียด
เมื่อได้รับยากดภูมิคุ้มกัน ร่างกายอาจอ่อนแอให้อยู่ห่างผู้ป่วยที่มีโรคติดเชื้อ
ในระหว่างการรักษาอาจมีผลกับโรคประจำตัว หรืออาจมีอุจจาระสีดำ และอาเจียนเป็นเลือด ดังนั้นหากมีอาการผิดปกติเหล่านี้ควรรีบแจ้งให้แพทย์ทราบ
พบแพทย์เพื่อปรึกษา และคอยตรวจดูอาการ
ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับโรคตุ่มน้ำพอง
ด้วยเป็นโรคที่ใครหลายคนอาจไม่คุ้นหูมากเท่าไหร่นักจึงอาจทำให้ได้รับความเชื่อ และความเข้าใจผิดเกี่ยวกับโรคนี้มาบ้าง ซึ่งความจริงของโรคนี้ยังมีอยู่หลายประการ ได้แก่
สาเหตุในการเกิดโรค ไม่ได้เกิดจากการออกกำลังกาย การทานอาหาร และทางพันธุกรรมแต่อย่างใด
โรคตุ่มน้ำพองไม่สามารถติดต่อได้ โรคนี้ไม่ใช่โรคติดต่อ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวผู้ป่วย
โรคนี้สามารถรักษาได้ และในปัจจุบันยังมีวิธีรักษาที่หลากหลายอีกด้วยแต่การรักษานั้นต้องใช้เวลาตามความหนักเบาของอาการ
เป็นโรคนี้แล้วตั้งครรภ์ได้ไหม ไม่แนะนำให้ตั้งครรภ์ เนื่องจากยาที่ได้รับระหว่างรักษาอาจมีผลต่อลูกน้อยในครรภ์ได้
โรคตุ่มน้ำพองรักษาด้วยวิธีใดได้บ้าง
การรักษาโรคนี้ในปัจจุบันทำได้หลายวิธี เช่น การรับยากดภูมิคุ้มกัน ร่วมกับใช้ยาแก้อักเสบเพื่อควบคุมโรค หรือการรับยาที่มีผลให้เซลล์เปลี่ยนการทำงานได้ แต่การรักษานั้นจะไม่หายในทันทีโดยระยะเวลาของการรักษาอาจกินเวลาหลักปี ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับระยะอาการของโรคด้วย
โรคตุ่มน้ำพองเป็นโคที่เสี่ยงกับทุกเพศทุกวัย และส่งผลสู่ผิวหนังโดยตรงถึงแม้ว่าอันตรายสูงสุดของโรคนี้จะถึงขั้นเสียชีวิตได้ แต่โอกาสที่จะเป็นเช่นนั้นกลับมีไม่มาก การคอยดูแลรักษาตนเองตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัดจึงเป็นวิธีเดียวที่สามารถหายขาดจากโรคนี้ได้